ข้อบังคับ

ข้อบังคับ
ของ
สมาคมทหารกองหนุนจังหวัดลำปาง
- - - - - - - - - - - - - - - - - - -
หมวดที่ 1
ความทั่วไป
ข้อ 1    สมาคมนี้มีชื่อว่า สมาคมทหารกองหนุนจังหวัดลำปาง
ข้อ 2    เครื่องหมายสมาคม เป็นรูปทหารในชุดฝึกลายพรางถืออาวุธปืนเล็กยาวในท่าเฉียงอาวุธอยู่บนพื้นทรงกลมสีเหลือง  ตรงกลางด้านบนมีแถบริบบิ้นเป็นธงไตรรงค์  ด้านล่างเป็นรูปแถบริบบิ้นสีเขียวอ่อนภายในมีอักษรสีเขียวข้อความว่า สมาคมทหารกองหนุนจังหวัดลำปาง                                                                    
                     

ข้อ 3    สำนักงานใหญ่ของสมาคมตั้งอยู่ ณ อาคารกองบัญชาการมณฑลทหารบกที่ 32  ค่ายสุรศักดิ์มนตรี เลขที่ 1 หมู่ที่ 1 ตำบลพิชัย อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง
ข้อ 4   วัตถุประสงค์ของสมาคม
            4.1 เพื่อเป็นศูนย์ประสานงานของสมาชิกทหารกองหนุน หน่วยราชการ และองค์กรอื่น ๆ
            4.2 เพื่อเป็นศูนย์กลางในการเสริมสร้างความรัก ความสามัคคีในการสนับสนุนความมั่นคงของชาติ
         4.3 เพื่อเป็นการช่วยเหลือสวัสดิการแก่ทหารกองหนุนที่มีปัญหาได้รับความเดือดร้อน
         4.4 เพื่อรวบรวมพลัง สติปัญญา ความรู้ความสามารถ ในการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม สร้างความเจริญให้กับประเทศชาติบ้านเมือง
            4.5 เพื่อความจงรักภักดีต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตลอดจนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
             4.6 เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำงานกับผู้ดำรงตำแหน่ง และหมดวาระไป
             4.7 ไม่จัดตั้งโต๊ะบิลเลียด หรือสนุ๊กเกอร์ และไม่เกี่ยวข้องกับการพนันทุกชนิด
หมวดที่ 2
สมาชิก
ข้อ 5   สมาชิกของสมาคมมี 2 ประเภท คือ
                          5.1 สมาชิกสามัญได้แก่ ทหารกองหนุน และคู่สมรสที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดลำปาง ซึ่งได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมนี้แล้ว    คำว่า  ทหารกองหนุน หมายความว่านายทหารสัญญาบัตร และนายทหารประทวนชาย-หญิง   ที่ออกจากราชการทหาร  หรือพลทหารกองประจำการ ที่ได้ขึ้นทะเบียนกองประจำการ และปลดเป็นทหารกองหนุนทุกชั้นจนถึงพ้นราชการ  รวมถึงนักศึกษาวิชาทหารที่สำเร็จการฝึกวิชาทหารชั้นปีที่ 3 ขึ้นไป ที่ได้ขึ้นทะเบียนกองประจำการ และนำปลดเป็นทหารกองหนุนแล้ว
                          5.2 สมาชิกกิตติมศักดิ์ได้แก่ บุคคลผู้ทรงเกียรติ หรือทรงคุณวุฒิ หรือผู้มีอุปการคุณแก่สมาคม ซึ่งคณะกรรมการลงมติให้เชิญเป็นสมาชิกของสมาคม
ข้อ 6   สมาชิกจะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้.-
           6.1 เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว
           6.2 เป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย
           6.3 ไม่เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ
         6.4 ไม่ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด ให้เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถหรือต้องโทษจำคุก ยกเว้นความผิดฐานประมาทหรือลหุโทษ การต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดในกรณีดังกล่าวจะต้องเป็นในขณะที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกหรือในระหว่างที่เข้าเป็นสมาชิกของสมาคมเท่านั้น
ข้อ 7   ค่าลงทะเบียน และค่าบำรุงสมาคม
           7.1 สมาชิกสามัญจะต้องเสียค่าลงทะเบียนเป็นครั้งแรก   20  บาท
        7.2 สมาชิกสามัญมิต้องเสียค่าบำรุงสมาคม
         7.3 สมาชิกกิตติมศักดิ์ มิต้องเสียค่าลงทะเบียนและค่าบำรุงสมาคมแต่อย่างใด
ข้อ 8   การสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ให้ผู้ประสงค์จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ยื่นใบสมัครตามแบบของสมาคมต่อเลขานุการ โดยมีสมาชิกสามัญรับรองอย่างน้อย 1 คน และให้เลขานุการติดประกาศรายชื่อผู้สมัครไว้ ณ สำนักงานของสมาคมเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน เพื่อให้สมาชิกอื่น ๆ ของสมาคมจะได้คัดค้านการสมัครนั้น เมื่อครบกำหนดประกาศแล้วก็ให้เลขานุการนำใบสมัคร และหนังสือคัดค้านของสมาชิก (ถ้ามี) เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาอนุมัติว่าจะรับหรือไม่รับเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม และเมื่อคณะกรรมการพิจารณาการสมัครแล้ว ผลเป็นประการใดให้เลขานุการเป็นผู้แจ้งให้ผู้สมัครทราบโดยเร็ว
 ข้อ 9   ถ้าคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติให้ผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิก ก็ให้ผู้สมัครนั้นชำระเงินค่าลงทะเบียน ให้เสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากเลขานุการ   และสมาชิกภาพของผู้สมัครให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ผู้สมัครได้ชำระเงินค่าลงทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าผู้สมัครไม่ชำระเงินค่าลงทะเบียน ภายในกำหนด ก็ให้ถือว่าการสมัครคราวนั้นเป็นอันยกเลิก
 ข้อ 10   สมาชิกภาพของสมาชิกกิตติมศักดิ์ ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่หนังสือตอบรับคำเชิญของผู้ที่คณะกรรมการได้พิจารณาลงมติให้เชิญเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ได้มาถึงยังสมาคม
ข้อ 11   สมาชิกภาพของสมาชิกให้สิ้นสุดลงด้วยเหตุดังต่อไปนี้.-
             11.1 ตาย
             11.2 ลาออก โดยยื่นหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการ และคณะกรรมการได้พิจารณาอนุมัติ  และสมาชิกผู้นั้นได้ชำระหนี้สินที่ยังติดค้างอยู่กับสมาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
              11.3 ขาดคุณสมบัติสมาชิก
              11.4 ที่ประชุมใหญ่ของสมาคม หรือคณะกรรมการได้พิจารณาลงมติให้ลบชื่อออกจากทะเบียน เพราะสมาชิกผู้นั้นได้ประพฤตินำความเสื่อมเสียมาสู่สมาคม
ข้อ 12   สิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
             12.1 มีสิทธิเข้าใช้สถานที่ของสมาคมโดยเท่าเทียมกัน
             12.2 มีสิทธิเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการของสมาคมต่อคณะกรรมการ
             12.3 มีสิทธิได้รับสวัสดิการต่าง ๆ ที่สมาคมได้จัดให้มีขึ้น
             12.4 มีสิทธิเข้าร่วมประชุมใหญ่ของสมาคม
             12.5 สมาชิกสามัญมีสิทธิในการเลือกตั้ง หรือได้รับการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้งเป็นกรรมการสมาคม และมีสิทธิออกเสียงลงมติต่าง ๆ ในที่ประชุมได้คนละ 1 คะแนนเสียง
              12.6 มีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการ เพื่อตรวจสอบเอกสารและบัญชีทรัพย์สินของสมาคม
              12.7 มีสิทธิเข้าชื่อร่วมกันอย่างน้อย 1 ใน 3 ของสมาชิกสามัญทั้งหมดร้องขอต่อคณะกรรมการให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญได้
              12.8 มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติคามระเบียบปฏิบัติ และข้อบังคับของสมาคมโดยเคร่งครัด
              12.9 มีหน้าที่ประพฤติตนให้สมกับเกียรติที่เป็นสมาชิกของสมาคม
              12.10 มีหน้าที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินกิจการต่าง ๆ ของสมาคม
              12.11 มีหน้าที่ร่วมกิจกรรมที่สมาคมได้จัดให้มีขึ้น
              12.12 มีหน้าที่ช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงของสมาคมให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
หมวดที่ 3
การดำเนินกิจกรรมสมาตม
ข้อ 13   ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง ทำหน้าที่บริหารกิจการสมาคมมีจำนวนอย่างน้อย  15 คน  อย่างมากไม่เกิน 30คน คณะกรรมการนี้ต้องเป็นสมาชิกสามัญที่ได้มาจากการเลือกตั้งของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม และให้ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งจากที่ประชุมใหญ่  เลือกตั้งกันเองเป็นนายกสมาคม 1 คน และอุปนายก 4 คน สำหรับตำแหน่งกรรมการในตำแหน่งอื่น ๆ ให้ นายกสมาคมเป็นผู้แต่งตั้ง ผู้ที่ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่เข้าดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ของสมาคม ตามที่ได้กำหนดไว้ซึ่งตำแหน่งกรรมการสมาคมมีตำแหน่งและหน้าที่โดยสังเขปดังต่อไปนี้.-
                13.1 นายกสมาคม   ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าในการบริหารกิจการของสมาคม เป็นผู้แทนสมาคมในการติดต่อกับบุคคลภายนอก และทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมคณะกรรมการ และการประชุมใหญ่ของสมาคม
                13.2 อุปนายก           ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายกสมาคมในการบริหารกิจการสมาคมปฏิบัติตามหน้าที่นายกสมาคมได้มอบหมาย และทำหน้าที่แทนนายกสมาคมเมื่อนายกสมาคมไม่อยู่ หรือไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่การทำหน้าที่แทนนายกสมาคมให้อุปนายกตามลำดับตำแหน่งเป็นผู้กระทำแทน
                13.3 เลขานุการ         ทำหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการของสมาคมทั้งหมด เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่สมาคมในการปฏิบัติกิจการของสมาคม และปฏิบัติตามคำสั่งของนายกสมาคม ตลอดจนทำหน้าที่เป็นเลขานุการในการประชุมต่าง ๆ ของสมาชิก
                13.4 เหรัญญิก           มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมดของสมาคม เป็นผู้จัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย บัญชีงบดุลของสมาคม และเก็บเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ของสมาคมไว้เพื่อตรวจสอบ
            13.5 ปฏิคม               มีหน้าที่ในการให้การต้อนรับแขกของสมาคม เป็นหัวหน้าในการจัดเตรียมสถานที่ของสมาคม และจัดเตรียมสถานที่ประชุมต่าง ๆ ของสมาคม
                 13.6 นายทะเบียน     มีหน้าที่เกี่ยวกับทะเบียนสมาชิกทั้งหมดของสมาคม ประสานงานกับเหรัญญิกในการเรียกเก็บเงินค่าบำรุงสมาคมจากสมาชิก
                 13.7 ประชาสัมพันธ์   มีหน้าที่เผยแพร่กิจการและชื่อเสียงเกียรติคุณของสมาคมให้สมาชิกและบุคคลโดยทั่วไปให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
                 13.8 กรรมการ  ตามความเหมาะสมซึ่งคณะกรรมการเห็นสมควรกำหนดให้มีขึ้น โดยมีจำนวนตำแหน่งอื่น ๆ เมื่อรวมกับตำแหน่งกรรมการตามข้างต้นแล้ว จะต้องไม่เกินจำนวนที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้ แต่ถ้าคณะกรรมการมิได้กำหนดตำแหน่งก็ถือว่าเป็นกรรมการกลาง
ข้อ 14    คณะกรรมการของสมาคมสามารถอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 4 ปี และเมื่อคณะกรรมการอยู่ในตำแหน่งครบกำหนดตามวาระแล้ว แต่คณะกรรมการชุดใหม่ยังมิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการ ก็ให้คณะกรรมการที่ครบกำหนดตามวาระรักษาการไปพลางก่อน จนกว่าคณะกรรมการชุดใหม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการ     และเมื่อคณะกรรมการชุดใหม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ทำการส่งและรับมอบงานกันระหว่างคณะกรรมการชุดเก่าและคณะกรรมการชุดใหม่ให้เป็นที่เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับตั้งแต่คณะกรรมการชุดใหม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการ
ข้อ 15    ตำแหน่งกรรมการสมาคม ถ้าต้องว่างลงก่อนครบกำหนด ก็ให้คณะกรรมการแต่งตั้งสมาชิกสามัญคนใดคนหนึ่งที่เห็นสมควรเข้าดำรงตำแหน่งแทนที่ว่างลงนั้น แต่ผู้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งได้เท่ากับวาระของผู้ที่ตนแทนเท่านั้น
ข้อ 16   กรรมการอาจจะพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งมิใช่เป็นการออกตามวาระด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ คือ
             16.1 ตาย
             16.2 ลาออก
             16.3 ขาดจากสมาชิกภาพ
             16.4 ที่ประชุมใหญ่ลงมติให้ออกจากตำแหน่ง
ข้อ 17  กรรมการที่ประสงค์จะลาออกจากตำแหน่งกรรมการให้ยื่นใบลาออกเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการที่มีมติ
ให้ออก
ข้อ  18   อำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการ
              18.1 มีอำนาจออกระเบียบปฏิบัติต่าง ๆ เพื่อให้สมาชิกปฏิบัติ โดยระเบียบปฏิบัตินั้นจะต้องไม่ขัดต่อข้อบังคับฉบับนี้
              18.2 มีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าหน้าที่ของสมาคม
              18.3 มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการที่ปรึกษา หรืออนุกรรมการได้ แต่กรรมการที่ปรึกษาหรืออนุกรรมการจะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกินวาระของคณะกรรมการที่แต่งตั้ง
              18.4 มีอำนาจเรียกประชุมใหญ่สามัญประจำปี และประชุมใหญ่วิสามัญ
               18.5 มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการในตำแหน่งอื่น ๆที่ยังมิได้กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
               18.6 มีอำนาจบริหารกิจการของสมาคม เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตลอดจนมีอำนาจอื่น ๆตามข้อบังคับได้กำหนดไว้
                18.7 มีหน้าที่รับผิดชอบในกิจการทั้งหมด รวมทั้งการเงินและทรัพย์สินทั้งหมดของสมาคม
                18.8 มีหน้าที่จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญ ตามที่สมาชิกสามัญ จำนวน 1 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมดได้เข้าชื่อร้องขอให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญขึ้นซึ่งการนี้จะต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญขึ้นภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ
ร้องขอ
                18.9 มีหน้าที่จัดทำเอกสารหลักฐานต่าง ๆทั้งที่เกี่ยวกับการเงินทรัพย์สินและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของสมาคม
ให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ และสามารถจะให้สมาชิกตรวจดูได้เมื่อสมาชิกร้องขอ
                 18.10 จัดทำบันทึกการประชุมต่าง ๆ ของสมาคมเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานและจัดส่งให้สมาชิกได้รับทราบ
                 18.11 มีหน้าที่อื่น ๆตามที่ข้อบังคับกำหนดไว้
ข้อ 19    คณะกรรมการจะต้องประชุมกันอย่างน้อย 2 เดือน ต่อครั้ง  ทั้งนี้เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการบริหารกิจการของสมาคม
 ข้อ 20   การประชุมคณะกรรมการ  จะต้องมีกรรมการเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมดจึงจะถือว่าครบองค์ประชุมมติของที่ประชุมคณะกรรมการ ถ้าข้อบังคับมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นก็ให้ถือคะแนนเสียงมาเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงเท่านั้น ก็ให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 21   ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้านายกสมาคมและอุปนายกสมาคมไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติได้ ก็ให้กรรมการที่เข้าประชุมนั้นเลือกตั้งกันเอง เพื่อให้กรรมการคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมคราวนั้น

หมวดที่ 4
การประชุมใหญ่
ข้อ  22   การประชุมใหญ่ของสมาคม 2 ชนิดคือ
              22.1 ประชุมใหญ่สามัญ
              22.2 ประชุมใหญ่วิสามัญ
ข้อ  23   คณะกรรมการจะต้องจัดให้การประชุมใหญ่สามัญประจำปี ๆ ละ 1 ครั้ง ภายในเดือนพฤศจิกายน ของทุก ๆ ปี
ข้อ 24   การประชุมใหญ่วิสามัญ อาจจะมีขึ้นได้ก็โดยเหตุที่คณะกรรมการเห็นควรจัดให้มีขึ้น หรือเกิดขึ้นด้วยการเข้าชื่อร่วมกันของสมาชิกไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของสมาชิกสามัญทั่งหมดร้องขอต่อคณะกรรมการให้จัดให้มีขึ้น 
ข้อ 25  การแจ้งกำหนดการนัดประชุมใหญ่ ให้เลขานุการเป็นผู้แจ้งกำหนดการนัดประชุมใหญ่ให้สมาชิกได้ทราบ และการแจ้งจะต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร โดยระบุวัน เวลา สถานที่ให้ชัดเจน  โดยจะต้องแจ้งให้สมาชิกได้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน และประกาศแจ้งกำหนดนัดประชุมไว้ ณ สำนักงานของสมาคมเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนถึงกำหนดประชุมใหญ่
ข้อ 26  การประชุมใหญ่สามัญประขำปี จะต้องมีวาระการประชุมอย่างน้อยดังต่อไปนี้
            26.1 แถลงกิจการที่ผ่านมาในรอบปี
            26.2 แถลงบัญชีรายรับ รายจ่าย และบัญชีงบดุลของปีที่ผ่านมาให้สมาชิกรับทราบ
            26.3 เลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เมื่อครบกำหนดวาระ
            26.4 เลือกตั้งผู้สอบบัญชี
            26.5 เรื่องอื่น ๆ ถ้ามี
ข้อ 27   ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี หรือการประชุมใหญ่วิสามัญจะต้องมีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดจึงจะถือว่าครบองค์ประชุม แต่ถ้าถึงกำหนดเวลาประชุมยังมีสมาชิกสามัญเข้าร่วมไม่ครบองค์ประชุม ให้คณะกรรมการของสมาคมเรียกประชุมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง โดยจัดให้มีการประชุมขึ้นภายใน 14 วัน นับแต่วันที่นัดประชุมครั้งแรก สำหรับในการประชุมครั้งหลังนี้ ถ้ามีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนเท่าใดก็ให้ถือว่าครบองค์ประชุม ยกเว้นถ้าเป็นการประชุมใหญ่วิสามัญที่เกิดขึ้นจากการร้องขอของสมาชิกก็ไม่ต้องจัดประชุมใหญ่ ให้ถือว่าการประชุมเป็นอันยกเลิก
ข้อ 28   การลงมติต่าง ๆ ในที่ประชุมใหญ่ ถ้าข้อบังคับมิได้กำหนดเป็นอย่างอื่น ก็ให้ถือว่าคะแนนเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงที่ลงมติมีคะแนนเสียงเท่ากัน ก็ให้ประธานในการประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 29   ในการประชุมใหญ่ของสมาคม ถ้านายกสมาคม และอุปนายกสมาคมไม่มาเข้าร่วมประชุม หรือไม่สามารถจะปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ให้ที่ประชุมใหญ่ทำการเลือกตั้งกรรมการที่เข้ามาร่วมประชุมคนใดคนหนึ่ง ให้ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมคราวนั้น
หมวดที่ 5
การเงินและทรัพย์สิน

ข้อ 30   การเงินและทรัพย์สินทั้งหมดให้อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการ เงินสดของสมาคมถ้ามีให้ฝากไว้ในธนาคารทหารไทย สาขาจังหวัดลำปาง
ข้อ 31   การลงนามในตั๋วเงิน หรือเช็คของสมาคม จะต้องมีลายมือชื่อของนายกสมาคม หรือผู้ทำการแทนลงนามร่วมกับเหรัญญิก หรือเลขานุการ พร้อมกับประทับตราของสมาคมจึงจะถือว่าใช้ได้
ข้อ 32   ให้นายกสมาคมมีอำนาจสั่งจ่ายเงินของสมาคมได้ครั้งละไม่เกิน50,000บาท(ห้าหมื่นบาทถ้วน.)
ถ้าเกินกว่านั้นจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ และคณะกรรมการจะอนุมัติให้จ่ายเงินได้ครั้งละไม่เกิน100,000บาท
(หนึ่งแสนบาทถ้วน) ถ้าจำเป็นจะต้องจ่ายเกินกว่านี้ ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ของสมาคม
ข้อ 33   ให้เหรัญญิกมีอำนาจเก็บเงินสดของสมาคมได้ไม่เกิน10,000บาท(หนึ่งหมื่นบาทถ้วน.)ถ้าเกินกว่านี้จะต้องนำฝากธนาคารในบัญชีของสมาคมทันทีที่โอกาสอำนวยให้
ข้อ 34    เหรัญญิกจะต้องทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และบัญชีงบดุลให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ การรับหรือจ่ายเงินทุกครั้งจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อของนายกสมาคมหรือผู้ทำการแทนร่วมกับเหรัญญิกหรือผู้ทำการแทน พร้อมกับประทับตราของสมาคมทุกครั้ง
ข้อ 35   ผู้สอบบัญชีจะต้องมิใช่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม และจะต้องเป็นผู้สอบบัญชีที่ได้รับอนุญาต
ข้อ 36   ผู้สอบบัญชี มีอำนาจหน้าที่จะเรียกเอกสารที่เกี่ยวกับการเงินและทรัพย์สินจากคณะกรรมการ และสามารถจะเชิญกรรมการ หรือเจ้าหน้าที่ของสมาคมเพื่อสอบถามเกี่ยวกับบัญชีและทรัพย์สินของสมาคมได้
ข้อ 37   คณะกรรมการจะต้องให้ความร่วมมือกับผู้สอบบัญชี เมื่อได้รับการร้องขอ 
ข้อ 38    สมาคมมีรายได้ดังต่อไปนี้
              38.1 ค่าบำรุงสมาชิก
              38.2 ดอกเบี้ยพันธบัตร(ถ้ามี)หรือดอกเบี้ยเงินฝากของสมาคม
              38.3 เงินผลประโยชน์จากค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของสมาคม(ถ้ามี)
              38.4 เงินบริจาคสมาชิก หรือบุคคลภายนอก
              38.5 ทรัพย์สินที่มีผู้ให้แก่สมาคม
              38.6 รายได้อื่น ๆ จากการจัดกิจกรรมของสมาคม
หมวดที่ 6
การเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับและการเลิกสมาคม
ข้อ 39   ข้อบังคับของสมาคมจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้โดยมติของที่ประชุมใหญ่เท่านั้น และองค์ประชุมใหญ่จะต้องมีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกสามัญทั้งหมด มติของที่ประชุมใหญ่ในการให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับ จะต้องมีคะแนนเสียงไมน้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกสามัญที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด
ข้อ 40  การเลิกสมาคมจะเลิกได้โดยมติของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม ยกเว้นเป็นการเลิกเพราะเหตุของกฎหมาย         มติของ
ที่ประชุมใหญ่ที่ให้เลิกสมาคม จะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของสมาชิกสามัญที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด และองค์ประชุมใหญ่จะต้องไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกสามัญทั้งหมด
 ข้อ 41   เมื่อสมาคมต้องเลิก ไม่ว่าเหตุใด ๆ ก็ตาม ทรัพย์สินของสมาคมที่เหลืออยู่ หลังจากที่ได้ชำระบัญชีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ให้ตกเป็นของมูลนิธิบุญวาทย์วิหารพระอารามหลวง
หมวดที่ 7
บทเฉพาะกาล
            ข้อ 42   ข้อบังคับฉบับนี้นั้นให้เริ่มใช้บังคับได้นับตั้งแต่วันที่สมาคมได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเป็นต้นไป
            ข้อ 43   เมื่อสมาคมได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจากทางราชการ ก็ให้ถือว่าผู้เริ่มการทั้งหมดเป็นสมาชิกสามัญ และสมาชิกภาพของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้น เริ่มตั้งแต่วันจดทะเบียนเป็นต้นไป



(ลงชื่อ) พันเอก  อดุลย์   วรรณศรี   ผู้จัดทำข้อบังคับ
(  อดุลย์          วรรณศรี  )
                                                                    นายกสมาคมทหารกองหนุนจังหวัดลำปาง  


ข้อบังคับฉบับนี้ได้จดทะเบียนแล้ว ตาม ส.ค.4
เลขทะเบียนที่  8/2554   เมื่อ  6  ธ.ค. 2555
     (ลงชื่อ) ว่าที่ร้อยตรี บำรุง   คำไว   
                                (   บำรุง   คำไว   )
                 เจ้าพนักงานปกครอง ชำนาญการ






ต้องการพิมพ์เอกสารฉบับนี้ คลิกที่นี่ =>  "ข้อบังคับของสมาคมทหารกองหนุนจังหวัดลำปาง"